กระดูกหักเป็นภาวะที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริง ภาวะกระดูกหัก Fracture นั้นสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การทำงานต่างๆ ฟรีแลนซ์ และคุณภาพชีวิตโดยรวม นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ภาวะกระดูกหักยังสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อ การสูญเสียการเคลื่อนไหว หรือแม้กระทั่งภาวะกระดูกไม่ติดกันที่ทำให้ต้องได้รับการรักษายาวนานขึ้น หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง การบาดเจ็บเล็กน้อยอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันและคุณภาพชีวิตโดยรวมได้

กระดูกหัก (Fracture) คือภาวะที่กระดูกแตกหรือหักจากแรงกดหรือแรงกระแทกที่มากเกินไป ทำให้โครงสร้างของกระดูกไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกดดันได้จนทำให้กระดูกแตกหรือหัก กระดูกหักสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งกระดูกชิ้นใหญ่และกระดูกชิ้นเล็ก เช่น กระดูกข้อมือ กระดูกแขน ขา ซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก

กระดูกหักสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การหกล้ม การถูกแรงกระแทกอย่างรุนแรง หรือบางครั้งอาจเกิดจากการใช้งานกระดูกมากเกินไป หรือมีภาวะการเสื่อมสภาพของกระดูก เช่น ในกรณีของผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)

การแบ่งประเภทของกระดูกหักสามารถแบ่งได้เป็นหลายรูปแบบตามลักษณะและสาเหตุของการหัก โดยทั่วไปสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

  • กระดูกหักแบบที่ไม่มีแผลเปิด (Closed Fracture): เป็นกระดูกหักที่เกิดขึ้นโดยที่ชิ้นส่วนของกระดูกยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อ ไม่ได้ทะลุผิวหนังออกมา ทำให้ไม่มีแผลเปิดที่ผิวหนัง กระดูกหักประเภทนี้มักจะพบได้บ่อย มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีหากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม มักเกิดจากการหกล้ม อุบัติเหตุ หรือแรงกระแทกต่าง ๆ
  • กระดูกหักแบบที่มีแผลเปิด (Open หรือ Compound Fracture): เป็นกระดูกหักแบบที่มีกระดูกทะลุผิวหนังออกมา ทำให้มีแผลเปิด และกระดูกอาจสัมผัสกับภายนอก ซึ่งอาจเกิดจากการที่กระดูกถูกแรงกระแทกอย่างรุนแรงหรือถูกบิดอย่างแรง กระดูกหักแบบนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ เนื่องจากกระดูกมีการสัมผัสกับเชื้อโรคภายนอก

การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง จะช่วยทำให้การฟื้นตัวจากกระดูกเร็วขึ้นได้

  1. พักผ่อนเพียงพอ: เมื่อเกิดภาวะกระดูกหัก ร่างกายต้องใช้ระยะเวลานานในการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งจำเป็นต้องให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และควรหลีกเลี่ยงการใช้งานบริเวณที่หัก
  2. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง: การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ชีส โยเกิร์ต ผักใบเขียว และปลาแซลมอน ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง วิตามินดีซึ่งพบได้ในปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาซาร์ดีน และปลาทูน่า รวมถึงไข่แดงและนมเสริมวิตามินดี จะช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ทำให้กระดูกหักหายเร็วขึ้น
  3. ออกกำลังกายเบา ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์: เมื่อแพทย์พิจารณาว่าสามารถออกกำลังกายได้ การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดินหรือการยืดเหยียด สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณกระดูกที่หัก เพิ่มอัตราการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานมานาน
  4. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ การรับประทานยาอย่างถูกต้อง การทำกายภาพบำบัด และการใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงจะช่วยให้กระดูกหายเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการหักซ้ำ ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมแคลเซียมหรือวิตามินดีเพิ่มเติมเพื่อเร่งการฟื้นตัวของกระดูก ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมใด ๆ